คนที่ยังต้องอยู่ในวัยทำงานทุกคนคงต้องเคยพบกับคำถามนี้ในใจไม่มากก็น้อย ว่าเราควรจะจัดสรรเวลาให้กับชีวิตอย่างไรดีถึงจะมีความสุข ทั้งในด้านของการดำรงค์ชีวิต และการทำงาน
สมดุลที่ต้องตีความหมาย
ความสมดุลย่อมเป็นสิ่งที่หมายปองสำหรับใครหลายคน ซึ่งจริงๆแล้วก็มีข้อยกเว้นที่บางคนอาจจะอยากใช้ชีวิตเหมือนนั่งอยู่บนรถไฟเหาะในสวนสนุกตลอดเวลา ท้าทายกับสิ่งต่างๆที่ไม่เป็นรูทีน แต่ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่น่าจะมีความพอใจกับชีวิตที่มีความสมดุลมากกว่า
คนที่ต้องทำงานเพื่อเลี้ยงชีพและครอบครัวก็คงหนีไม่พ้น 1 ใน 2 อย่างนี้ คือถ้าไม่ทำงานบริษัท ก็ทำงานส่วนตัว ซึ่งทั้งสองแบบนี้ วิธีการสร้างสมดุลในชีวิตอาจไม่เหมือนกันซะทีเดียว
Work-life Balance
การสร้างสมดุลแบบแรกนี้เป็นสิ่งที่ติดหูคนทั่วไปกันมาอย่างยาวนาน ว่าในแต่ละวันเราควรแบ่งเวลาให้สมดุลกันทั้งในส่วนของการทำงานและชีวิตส่วนตัว ไม่ควรมีอะไรมากกว่าหรือน้อยกว่ากัน โดยมีความเชื่อว่า การแบ่งเวลาให้เท่าๆกันนี้จะช่วยทำให้การใช้ชีวิตไม่เอนเอียงไปทางใดทางนึงมากนัก และจะนำมาซึ่งความสุขในการดำรงชีวิต แต่ความเป็นจริงได้แสดงให้เห็นแล้วว่า วิธีนี้อาจใช้ไม่ได้กับหลายๆคน หลายๆสถานะการณ์เราไม่สามารถตัดขาดกันได้ระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัว โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้ประกอบการที่ทำงานโดยอาศัย Passion มากกว่าการทำงานตามหน้าที่ตำแหน่งงานที่รับผิดชอบ
Work-life Blended
การสร้างสมดุลอีกแบบ (แม้จะไม่สมดุลแบบเท่าๆกันจริงๆ) ก็คือการผสมกลมกลืนกันไประหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน ไม่จำเป็นต้องแบ่งเวลาตัดขาดกันอย่างชัดเจน
ยกตัวอย่างเช่น หากเรายึกหลักของ Work-life Balance ช่วงเวลาพักร้อนของเราอาจจะงดกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการทำงานอย่างเด็ดขาด แต่หากช่วงนั้นเรามีภาระงานหรือมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ เราอาจจะตัดสินใจใช้ชีวิตส่วนตัวอย่างเต็มที่ แล้วเก็บเรื่องงานมาทำภายหลัง ผลลัพธ์อาจจะทำให้เราใช้ชีวิตในช่วงพักผ่อนไม่มีความสุขแบบเต็มที่ อีกทั้งพอกลับมาทำงานก็ต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องงานที่ตามมาจากการจัดการในเวลาที่ผ่านมา ซึ่งหากเราตัดสินใจใช้เวลาส่วนตัวเพียงเล็กน้อยในการจัดการกับปัญหานั้น เราก็อาจจะเที่ยวหรือพักผ่อนได้อย่างมีความสุขมากขึ้น อีกทั้งงานก็สามารถเดินต่อไปได้อย่างไม่ติดขัด
แต่แน่นอน สิ่งเหล่านี้ก็มีเรื่องของความสมดุลซ้อนอยู่ในตัว เช่น เราจะเบียดบังเวลาส่วนตัวให้กับงานมากน้อยขนาดไหนถึงจะพอดี สิ่งนี้เป็นเรื่องที่แต่ละคนจะต้องตัดสินใจและฝึกฝนกันเอง มันคงไม่มีสูตรสำเร็จที่ตายตัว
Work-life Flow
มีศัพท์อีกคำที่เริ่มจะเห็นคนนำมาใช้มากขึ้น คือคำว่า Work-life Flow ซึ่งโดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่ามันก็คล้ายกับ Work-life Blend คือไม่มีการกำหนดช่วงเวลาในการทำสิ่งต่างๆอย่างตายตัว แต่ให้มัน “ลื่นไหล” ไปตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยทั้ง Work-life Blend และ Work-life Flow ต่างต้องอาศัยวิจารณญาณของเราเป็นผู้กำหนดเองว่าแค่ไหนถึงจะเรียกว่าพอดี
คุณเลือกเอง
สำหรับคำตอบของคำถามที่ว่าเราควรใช้วิธีไหนในการบริหารจัดการชีวิตให้สมดุลดี ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่เราต้องทดลองปฏิบัติ แล้วดูผลว่าวิธีไหนที่จะทำให้เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตและทำงานไปได้ในเวลาเดียวกัน
จริงๆแล้วก็มีอีกเรื่องที่น่าสนใจและเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการชีวิต คือเรื่องของการบริหารจัดการเวลา (Time Management) ซึ่งมันมีแนวคิดใหม่ที่เกิดขึ้นมาเพื่อใช้บริหารจัดการชีวิต คือการที่ไม่ไปโฟกัสในเรื่องของการจำกัดเวลาในการทำงาน แต่ไปโฟกัสในเรื่องของพลังงานที่มีอยู่ เช่น เราอาจจะทำงานต่อเนื่องยาวนานกว่าปกติหากในขณะนั้นสมองและกำลังกายของเรายังไปได้และอยู่ในช่วงที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เอาไว้ผมจะนำเรื่องนี้มาคุยในโพสต์ต่อๆไปครับ
Image: unsplash